ปฏิบัติกรรมฐาน ตัดกรรม เปิดทางสว่าง
มนุษย์เรามีผลของการกระทำเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตให้ต้องพบเจอกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ทั้งดีเป็นที่น่าพึงพอใจ และทั้งไม่เป็นที่สบอารมณ์ ปะปนกันไปมาอยู่เสมอ เราเรียกว่าผลแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมดีให้คุณ และ กรรมชั่วให้โทษ เพราะกรรมคือการกระทำนั่นเอง เรามีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้นด้วยผลแห่งกรรมที่นำพา มีการข้องเกี่ยวกับบุคคล และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อยู่ร่ำไป จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ว่าเราจะมีทั้งกรรมที่กระทำไว้ติดตัวมา และเจ้ากรรมนายเวรที่เราได้สร้างความทุกข์ความเจ็บปวดไว้แก่พวกเขา
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ากรรมมีทั้งดี และ ชั่ว ผลจึงขึ้นอยู่กับการกระทำ ทำกรรมดีก็ได้ผลที่ดี ทำกรรมชั่วก็มีผลชั่วติดตามรอสนองอยู่ตลอดเวลา หลายคนชีวิตหาความสุขไม่ได้ เป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ตลอดเวลา พบเจอแต่คนไม่ดี เจอภัยแก่ตัวเองให้เจ็บป่วย เป็นโรคภัยร้ายแรงไม่หายขาดและหาสาเหตุให้ตัวเองไม่ได้ หรือต้องกลายเป็นคนพิการใช้ชีวิตได้ไม่สมบูรณ์เหมือนดั่งผู้อื่น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการประมาทเลินเล่อ และอีกส่วนหนึ่งซึ่งอาจเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดของบางคนเลยก็ได้ที่เป็นผลมาจากกรรม หรือเจ้ากรรมนายเวรกำลังเอาคืนอยู่ รู้ตัวเร็วก็แก้ไขได้เร็ว แน่นอนสิ่งแรกต้องงดจากการกระทำกรรมชั่วเสียก่อน และหันมาสร้างแต่กรรมดีให้เป็นผลบุญหนุนนำ ทั้งนี้มีวิธีการหลายอย่างในการสร้างบุญ แต่อีกวิธีหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรือมองข้ามไป นั่นคือ การฝึกปฏิบัติกรรมฐาน และแผ่เมตตา ซึ่งเป็นหนทางที่ช่วยเปิดทางสว่างให้แก่ชีวิตได้หลุดพ้นจากเจ้ากรรมนายเวร
กรรมฐานนั้นเป็นการมั่นฝึกอบรมจิต เพื่อให้ได้ผลแห่งสมาธิ และ ปัญญา ทำให้เราระลึกได้ถึงการกระทำอันทั้งดีและชั่ว ทำให้เรารู้จักสำนึกในสิ่งที่ทำและยอมรับผลที่ตามมา การปฏิบัติกรรมฐานอยู่อย่างสม่ำเสมอนั้นจะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติมีสมาธิ มีสติยับยั้งชั่งใจในทุก ๆ การกระทำ เกิดปัญญามองเห็นสิ่งที่ควรและไม่ควร มีผลทำให้ตนเองนั้นบริสุทธิ์ เจ้ากรรมนายเวรลดความอาฆาต อยากอภัยให้ พร้อมทั้งกรรมชั่วก็ลดลงเรื่อย ๆ อีกหนึ่งสิ่งที่มักจะทำในการฝึกกรรมฐานนั้นคือ การนั่งสมาธิวิปัสสนา เจริญสติ ร่วมถึงการแผ่เมตตาจิตด้วย ซึ่งในการแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสมือนเป็นการขออโหสิกรรมที่ทำกันมา เป็นการเมตตาทางจิต เมื่อแผ่เมตตาให้ระลึกนึกไว้เสมอว่าขอหมดกรรมซึ่งกันและกัน ขอตัดกรรมไม่ข้องเกี่ยวกันอีก เมื่อใดที่เจ้ากรรมนายเวรเรายอมรับการแผ่เมตตาจากเราและอโหสิกรรมให้ เมื่อนั้นเราและเขาก็จะเป็นอิสระจากกัน แต่ต้องอย่าลืมว่าการแผ่เมตตานั้นนอกจากแผ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว เราต้องรู้จักแผ่เมตตาให้กับตนเองด้วย ให้ตนเองได้หลุดพ้นจากความทุกข์และรู้สึกผิดจนไม่เป็นอันทำอะไร หลังจากที่ได้สำนึกอย่างจริงใจแล้ว เพราะการที่เราจะแผ่เมตตาให้ผู้อื่นได้นั้น ตัวเราต้องเมตตาตนเองเสียก่อน
การฝึกปฏิบัติกรรมฐาน และการแผ่เมตตาจิต เป็นสิ่งที่ต้องมั่นฝึกฝนและทำบ่อย ๆ ให้สม่ำเสมอ เป็นวิธีการช่วยให้เราใจสะอาด บริสุทธิ์ เกิดการกระทำที่ดี ส่งผลให้ได้รับสิ่งดี ๆ เป็นสุขใจในชีวิต เป็นหนทางออกจากความมืดมิดของปัญหาและความทุกข์ที่มี ไปสู่ความสว่าง
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ากรรมมีทั้งดี และ ชั่ว ผลจึงขึ้นอยู่กับการกระทำ ทำกรรมดีก็ได้ผลที่ดี ทำกรรมชั่วก็มีผลชั่วติดตามรอสนองอยู่ตลอดเวลา หลายคนชีวิตหาความสุขไม่ได้ เป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ตลอดเวลา พบเจอแต่คนไม่ดี เจอภัยแก่ตัวเองให้เจ็บป่วย เป็นโรคภัยร้ายแรงไม่หายขาดและหาสาเหตุให้ตัวเองไม่ได้ หรือต้องกลายเป็นคนพิการใช้ชีวิตได้ไม่สมบูรณ์เหมือนดั่งผู้อื่น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการประมาทเลินเล่อ และอีกส่วนหนึ่งซึ่งอาจเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดของบางคนเลยก็ได้ที่เป็นผลมาจากกรรม หรือเจ้ากรรมนายเวรกำลังเอาคืนอยู่ รู้ตัวเร็วก็แก้ไขได้เร็ว แน่นอนสิ่งแรกต้องงดจากการกระทำกรรมชั่วเสียก่อน และหันมาสร้างแต่กรรมดีให้เป็นผลบุญหนุนนำ ทั้งนี้มีวิธีการหลายอย่างในการสร้างบุญ แต่อีกวิธีหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรือมองข้ามไป นั่นคือ การฝึกปฏิบัติกรรมฐาน และแผ่เมตตา ซึ่งเป็นหนทางที่ช่วยเปิดทางสว่างให้แก่ชีวิตได้หลุดพ้นจากเจ้ากรรมนายเวร
กรรมฐานนั้นเป็นการมั่นฝึกอบรมจิต เพื่อให้ได้ผลแห่งสมาธิ และ ปัญญา ทำให้เราระลึกได้ถึงการกระทำอันทั้งดีและชั่ว ทำให้เรารู้จักสำนึกในสิ่งที่ทำและยอมรับผลที่ตามมา การปฏิบัติกรรมฐานอยู่อย่างสม่ำเสมอนั้นจะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติมีสมาธิ มีสติยับยั้งชั่งใจในทุก ๆ การกระทำ เกิดปัญญามองเห็นสิ่งที่ควรและไม่ควร มีผลทำให้ตนเองนั้นบริสุทธิ์ เจ้ากรรมนายเวรลดความอาฆาต อยากอภัยให้ พร้อมทั้งกรรมชั่วก็ลดลงเรื่อย ๆ อีกหนึ่งสิ่งที่มักจะทำในการฝึกกรรมฐานนั้นคือ การนั่งสมาธิวิปัสสนา เจริญสติ ร่วมถึงการแผ่เมตตาจิตด้วย ซึ่งในการแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสมือนเป็นการขออโหสิกรรมที่ทำกันมา เป็นการเมตตาทางจิต เมื่อแผ่เมตตาให้ระลึกนึกไว้เสมอว่าขอหมดกรรมซึ่งกันและกัน ขอตัดกรรมไม่ข้องเกี่ยวกันอีก เมื่อใดที่เจ้ากรรมนายเวรเรายอมรับการแผ่เมตตาจากเราและอโหสิกรรมให้ เมื่อนั้นเราและเขาก็จะเป็นอิสระจากกัน แต่ต้องอย่าลืมว่าการแผ่เมตตานั้นนอกจากแผ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว เราต้องรู้จักแผ่เมตตาให้กับตนเองด้วย ให้ตนเองได้หลุดพ้นจากความทุกข์และรู้สึกผิดจนไม่เป็นอันทำอะไร หลังจากที่ได้สำนึกอย่างจริงใจแล้ว เพราะการที่เราจะแผ่เมตตาให้ผู้อื่นได้นั้น ตัวเราต้องเมตตาตนเองเสียก่อน
การฝึกปฏิบัติกรรมฐาน และการแผ่เมตตาจิต เป็นสิ่งที่ต้องมั่นฝึกฝนและทำบ่อย ๆ ให้สม่ำเสมอ เป็นวิธีการช่วยให้เราใจสะอาด บริสุทธิ์ เกิดการกระทำที่ดี ส่งผลให้ได้รับสิ่งดี ๆ เป็นสุขใจในชีวิต เป็นหนทางออกจากความมืดมิดของปัญหาและความทุกข์ที่มี ไปสู่ความสว่าง
เขียนขึ้นโดย Thailandhoro.com